วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในโลก 2013

9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในโลก 2013

โลนลี่แพลนเน็ตจัดอับดับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนในปี 2013
ในภาวะที่เศรษฐกิจของหลายประเทศซบเซา แน่นอนว่ากระทบกับเงินในกระเป๋าของประชาชนด้วย การที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศสักครั้งคงต้องคิดมากไม่ใช่น้อย ดังนั้น โลนลี่แพลนเน็ต (lonely planet) จัดอันดับ 9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในปี 2013 ที่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า เหมาะมากสำหรับช่วงที่เศรษฐกิจกำลังซบเซา
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเยือนในปี 2013
รีโอ, บราซิล
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
โกเธนเบิร์ก, สวีเดน
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
นามิเบีย
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
กัมพูชา
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
เมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐ
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
สเปน
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
สโลวีเนีย
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
เนปาล
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่
จอร์เจีย
9 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่

7 สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคปัจจุบัน

สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยปัจจุบัน สร้างขึ้นระหว่าง ศตวรรษที่ 17 - ศตวรรษที่ 20
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ได้นำการจัดอันดับจากหนังสือความรู้รอบตัว(รพีพรรณ ลาวัณยจรัสโยธิน.ความรู้รอบตัว.กรุงเทพฯ:รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์, มปป.) มีการจัดอันดับดังนี้



1.ปราสาทหินนครวัด
2.ทัชมาฮาล
3.พระราชวังแวร์ซายส์
4.เรือควีนแมรี่
5.สะพานโกลเด้นเกต
6.ตึกเอมไพร์สเตต
7.เขื่อนยักษ์ฮูเวอร์

7 สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคกลาง

สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยกลาง อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ถูกจัดขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายต่อมาหลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณแทบทั้งหมด ยกเว้นพีระมิด ล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปหมดสิ้น เหลือเพียงร่องรอยหลักฐาน หรือแบบจำลองเท่านั้น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ล้วนแต่ยังดำรงอยู่เป็นหลักฐานให้ศึกษากันในปัจจุบัน
ถึงแม้จะเสื่อมโทรมไปบ้างตามกาลเวลา สำหรับคำว่า สมัยกลาง ของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง มีความหมายเพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคถัดมา จากยุคโบราณเท่านั้น ซึ่งมีดังต่อไปนี้



1.หอเอนเมืองปิซา
2.สนามกีฬากรุงโรม
3.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย
4.สุเหร่าเซ็นโซเฟีย
5.กำแพงเมืองจีน
6.เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง
7.กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์

7 สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณ

สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สมัยโบราณ อายุตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล - ค.ศ. 500
ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่สองก่อน
ค.ศ. สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง สมัยโบราณเป็นผลงานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะชวนพิศวง จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีก โบราณ และยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณ ได้แก่




1.พีระมิดแห่งเมืองกิซา
2.มหาวิหารอาร์เทมีส
3.สุสานของกษัตริย์โมโซรุส
4.สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
5.เทวรูปเทพเจ้าซีอุส
6.เทวรูปเทพเจ้าเฮลิออส
7.หอประภาคารโรส

Happy New Year ...

 
 
วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม
ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง
ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี
และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล
จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี
 
 

ต่อมาชาวอียิปต์
กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข
อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์
ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365
วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน
คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29
วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก
คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล
เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทินและในวันที่ 21
มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน
คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง
วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า
วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน
Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม
ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10
วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5
ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้)
ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่
1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา









วันปีใหม่
มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม
ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง
ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี
และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล
จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปีต่อมาชาวอียิปต์
กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข
อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์
ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365
วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน
คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทินเมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29
วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก
คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล
เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทินและในวันที่ 21
มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน
คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง
วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า
วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน
Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม
ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10
วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5
ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้)
ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่
1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

Merry Christmas

             

              ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่สำคัญเทศกาลหนึ่งของชาวคริสต์ เทศกาลสำคัญที่ว่านี้คือ เทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองการประสูติของพระคริสต์เทศกาลคริสต์มาสจะจัดขึ้นในวันที่ 24 และ 25 ธันวาคมของทุกปี ในบางประเทศคริสต์มาสอาจจะเริ่มก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้เรียกว่า "แอดเวนท์" (มาจากภาษาลาติน แปลว่า "กำลังมา") และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มกราคมซึ่งเป็นวันที่นักปราชญ์สามคนที่มาจากทิศตะวันออกนำของขวัญมามอบแก่พระกุมารเยชู ด้วยเหตุนี้ในคืนวันที่ 6 มกราคม จึงเป็นคืนแห่งการมอบของขวัญในหลาย ๆ แห่งของโลก
และเมื่อวันคริสต์มาสอันเป็นวัดสุดยอดของเทศกาลมาถึง การเฉลิมฉลองก็จะเริ่มขึ้น ในช่วงเทศกาลนี้บ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้สดใสอบอุ่นด้วยต้นคริสต์มาสที่ประดับประดาเอาไว้อย่าง สวยงาม ที่ใต้ต้นคริสต์มาสจะมีของขวัญวางเรียงไว้มากมาย ประตูบ้านและขอบเตาผิงจะถูกตกแต่งด้วยหรีดกิ่งสนและฮอลลีในเดนมาร์กมีการประดับกิ่งเบริร์ชด้วยผลแอปเปิ้ลสีแดงผลเล็ก ๆ และคนแคระตังจิ๋วที่เรียกว่า "พิสเชอร์" ในนอรเวและสวีเดนมีการทำสัตว์ตัวเล็ก ๆ จากฟางแล้วผูกด้วยริบบิ้นสีแดง
เมื่อพูดถึงอาหารในวันคริสต์มาสจะมีอาหารพิเศษมากมายทั้งไก่งวงที่แสนอร่อย เนื้ออบก้อนโตซอสแครนเบอร์รรี ขนมพาย พุดดิง เค้กและคุกกี้เป็นร้อย ๆชนิด ที่ฝรั่งเศษมีการทำเค้กพิเศษเป็นรูปขอนไม้รสชาติเข้มข้นที่เรียกว่า บุช เดอ โนแอล (ขอยไม้คริสต์มาส)และหลังจากอาหารค่ำที่แสนวิเศษผ่านไปนาทีอันน่าระทึกใจก็มาถึงนั่นก็คือการแกะของขวัญนั่นเอง คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มีเรื่องให้พูดถึงไม่รู้เบื่อ สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะฉลองเทศกาลนี้ก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ


ทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะมีการฉลองรื่นเริงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก กิจกรรมในวันนี้มีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเป็นการกินเลี้ยง แลกของขวัญ แต่งบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ร้องเพลงคริสต์มาส ไปจนถึงเอาถุงเท้าไปแขวนรอซันตาคลอสผู้อารีย์นำของขวัญมาใส่ไว้ให้
วันคริสต์มาสมีความสำคัญคือ เป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นชาวยิว ประสูติในประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเดิมตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน มีนักปราชญืชาวยิวหลายท่านพยากรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีพระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาปลดแอกชาวยิวให้ได้รับอิสระภาพในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อพระเยซูประสูติที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดา มารดาของพระองค์ชื่อมาเรีย (ซึ่งเรารู้จักในนามแม่พระ) บิดาชื่อโยเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้
พระเยซูทรงพระปรีชาสามารถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์สามารถโต้ตอบกับพระชาวยิวในด้านศาสนาได้อย่างฉะฉาน ชีวิตในตอนต้นของพระองค์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทรงมีอาชีพเป็นช่างไม้ช่วยบิดา จนพระชนมายุราว 30 พรรษา จึงเสด็จออกประกาศคำสอนและทรงรักษาคนป่วยประเภทต่าง ๆเช่น คนตาบอด ง่อยเปลี้ย ให้กลับเป็นปกติดังเดิม
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกับศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ



ซันตาคลอสที่เรารู้จักตคุ้นเคยและเห็นภาพดังที่พรรณนามาตั้งแต่ตอนต้น เพิ่งมีกำเนิดขึ้นมาเมื่อไม่เกิน 200 ปีนี้เอง กลุ่มชนที่สร้างเรื่องราวของวันซาคลอส จนกลายเป็นตำนานสำคัญส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส คือ ชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์รุ่นบุกเบิกนั่นเอง
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับซันตาคลอสเริ่มขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านไมรา ซึ่งสมัยก่อนโน้น ตั้งอยู่ระหว่างเกาะโรดส์กับไซปรัส แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านเดมรี มีบ้านเรือนตั้งเรียงรายบนสันทรายใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เด็กชายผู้เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชื่อว่า "นิโคลัส" ชีวิตของเขาอยู่บนกองเงินกองทองเพราะพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย ไม่ช้าไม่นานพ่อแม่ก็ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินจึงตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว แต่น่าแปลกที่นิโคลัสกลับมีใจโอบอ้อมอารีต่อคนยากคนจน ชอบแจกสมบัติช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนกลายเป็นขวัญใจของคนทุกเพศทุกวัย
ครั้งนั้นก้อยังมีครอบครัวของชายชราคนจนครอบครัวหนึ่ง กำลังมีปัญหาด้วยบุตรสาวทั้งสามต้องการแต่งงาน แต่ไม่มีเงินจัดพิธีให้สมเกียรติก่อนคนสุดท้อง ครอบครัวนี้จึงตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก
แต่เมื่อนิโคลัสทราบข่าว จึงนำทองคำใส่ถุง 2 ถุง แอบย่องเข่าไปวางไว้ในบ้านของชายยากจนยามดึกสงัด ทำให้ 2 สาวได้จัดพิธีแต่งงานได้อย่างใหญ่โตสมความปรารถนา ต่อมาก็ถึงเวลาของบุตรสาวคนสุดท้องนิโคลัสก็นำถุงทองแอบมาหย่อนลงทางปล่องไฟในยามราตรี เหตุที่ต้องใช้ปล่องไฟเพราะคืนนั้นหน้าต่างปิดสนิท
จากพฤติกรรมของนิโคลัสเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่เด็ก ๆ ในสมัยต่อมา แอบนำของขวัญวางไว้ที่เตียงนอนของลูก ๆ ในตอนกลางคืน แล้วบอกว่า ซันตาคลอสนำของขวัญมามอบให้กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ยกย่องซันตาคลอสให้ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเด็ก ๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและนี่ก็คือ ตำนานความเป็นมาของ กำเนิดซันตาคลอส บิดาแห่งวันคริสต์มาส "นั่นเอง
เมื่อชาวดัตช์บางกลุ่มอพยพมาอยู่ในอเมริกาก็นำเอาความเชื่อถือศรัทธาในนักบุญนิโคลัสติดมาด้วย ยังมีการเฉลิมฉลองวันเซนต์นิโคลัสกันทุก ๆ ปี ในเดือนธันวาคม และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงผสมผสานเข้ากับความเชื่อถือของชาวอเมริกันเชื้อสายอื่น ๆ ทางแถบตะวันออกของอเมริกาตำนานเซนต์โคลัสก็เลยมาผูกโยงกับการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส "ซินเตอร์คลาส" ของชาวดัตช์ซึ่งต่อมาได้กร่อนกลายเป็น "ซันตาคลอส" ก็มีบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ แจกของขวัญแก่เด็ก ๆ ในตอนเช้าตรู่ของทุกวันคริสต์มาสดังที่รู้ ๆ กันอยู่
ทั้งนี้ ภาพซันตาคลอส ภาพแรกที่ปรากฏเป็นชายแก่ใจดี เคราขาวพุงพลุ้ย ใส่เฟอร์โค้ทตัวหนาสีแดงขลิบขาว หอบข้าวของพุรุงพะรังเช่นที่เราคุ้นเคยกันนั้น เป็นฝีมือการวาดจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการส่วนตัวของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังชาวอเมริกัน ที่ชื่อว่า "โธมัส แนสท์" ภาพแรกของซันตาคลอสนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในนิตยสาร harper's illustrated weekly ปี พ.ศ.1863
ต่อมาเรื่องราวของซันตาคลอสก็แพร่กระจายไปสู่คริสต์ศาสนิกชนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนกระทั่งหลาย ๆ ประเทศสามารถสร้างตำนานที่มีรายละเอียดแบบเอ็กซ์ลูซีฟเกี่ยวกับซันตาคลอสเป็นของตนเอง เช่น ซันตาคลอสประเทศฟินแลนด์ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด ซันตาคลอสมีบ้านและออฟฟิศอยู่ที่เมืองโรวานีมี เป็นเมืองท่องเที่ยวเป็นที่รู้จักกันดี อยู่ในเขตแลปแลนด์ แคว้นหนึ่งของประเทศฟินแลนด์
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซันตาคลอสจะอยู่ที่ไหน จะเป็นของชาติใด แก่นแท้ หรือสปิริตของความเป็นซันตาคอลสก็คือ ความรัก ความเมตตา กรุณา และความสดใสร่าเริง ซึ่งเป็นของสากลสำหรับมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและทั่วทุกหนทุกแห่ง

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับรูปสลักเดวิดของมิเคลันเจโล



วันนี้เมื่อ 497 ปีที่แล้ว (8 กันยายน ค.ศ. 1514) ประติมากรรมหินอ่อนอันโด่งดัง อย่าง "เดวิด" ซึ่งเป็นผลงานของมิเคลันเจโลได้เปิดแสดงเป็นครั้งแรกที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี Little Einstein จึงขอรวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับรูปปั้นเดวิดมาให้คุณๆได้ทราบกันค่ะ

ประติมากรรมเดวิดเป็นหินอ่อนแกะสลักรูป พระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคำภีร์ไบเบิล ลักษณะเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ มิเคลันเจโลเริ่มแกะสลักเดวิดในปี 1501 โดยใช้หินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานีของอิตาลี ประติมากรรมเดวิดเป็นรูปปั้นนับเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุค "ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” (Renaissance) รูปปั้นเดวิดของมิเคลันเจโล ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ Accademia Gallery ในกรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

1. ในขั้นตอนการแกะสลักรูปปั้นเดวิด มิเคลันเจโลแกะสลักเดวิดจากแท่งหินอ่อนที่มีตำหนิก้อนหนึ่ง ซึ่งหลังการแกะสลักเสร็จแล้ว มิเคลันเจโลได้กะเทาะปมปมหนึ่งจากหน้าอกของรูปสลักออก ซึ่งปมที่ว่าเชื่อกันว่าเป็นตำหนิบนหินอ่อนนั่นเอง
2. ในช่วง ค.ศ. 1527 เกิดเหตุขึ้น ทำให้มีคนปาเก้าอี้ไปโดนรูปสลักเดวิด จนส่วนแขนซ้ายของรูปปั้นแตกถึง 3 แห่ง
3. เดวิดสูง 14 ฟุต 3 นิ้ว
4. มือขวาของเดวิดนั้นมีสัดส่วนที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวของเขา เหตุผลก็เพราะว่า ในช่วงยุคกลาง กล่าวกันว่าเดวิดนั้นเป็นผู้ที่มีมือแข็งแรง (manu fortis)
5. เดวิดถนัดมือซ้าย
6. ค.ศ. 1872 มีการตัดสินใจเคลื่อนย้ายรูปสลักเดวิดเพื่อเป็นการเก็บรักษาที่ Accademia มันใช้เวลาในการเคลื่อนย้าย 3 วัน
7. มีรูปสลักจำลองของเดวิดมากมาย ค.ศ. 1857 ผลงานจำลองประติมากรรมเดวิดชิ้นหนึ่งถูกส่งถวายพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ซึ่งพระองค์ทรงนำรูปปั้นดังกล่าวตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Victoria and Albert Museum ในกรุงลอนดอน เมื่อพระองค์เสด็จทอดพระเนตรรูปสลักเดวิด ทรงไม่สบายพระทัยเมื่อเห็นว่ารูปสลักเป็นเดวิดเปลือยกาย จึงมีการนำใบมะเดื่อมาปิดไว้ที่ส่วนสงวนของรูปสลักเดวิด


Christ the Redeemer ( statue ) รูปปั้นพระเยซูคริสต์

Christ the Redeemer ( statue ) คือรูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ในนครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ประเทศบราซิล ( Brazil ) ได้รับการลงคะแนนเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ และถือเป็นสัญญาลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวคริสต์ในประเทศ บราซิลทั้งหมด ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง


เป็นรูปปั้นสูง 30 เมตร กว้าง 38 เมตร ( วัดจากปลายแขนซ้าย ถึงปลายแขนขวา ) มีน้ำหนัก 635 ตัน ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ในอุทยานแห่งชาติทิจูคา ( Tijuca Forest National Park ) ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็น มหานครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ได้ทั้งหมด ถือเป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ขนาด ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 710 เมตร


ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินสบู่ ( Soapstone ) เนื่องจากมีความทนทานสูง และเหมาะต่อการใช้งาน แกะสลักดำเนินการโดยช่างแกะชาวฝรั่งเศล นามว่า Paul Landowski ออกแบบโครงสร้างนำโดยวิศวกรชื่อ Albert Caquot ผู้ออกแบบสถาปัตกรรม เป็นวิศวกรชาวบราซิล ชื่อว่า Heitor da Silva Costa

 
ประวัติความเป็นมา กลางปี 1850 เมื่อหลวงพ่อ Pedro Maria ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก เจ้าหญิง Isabel ให้ทำการก่อสร้างรูปปั้นทางศาสนาขนาดใหญ่ ปี 1921 จึงมีการเสนอ 2 โครงการการรูปปั้นขนาดยักษ์ ที่เป็นสัญญาลักษณะของเมือง โดยรูปแบบแรกเป็นรูปพระเยซูคริสต์ และมีโลกอยู่ในมือ และอีกรูปแบบเป็นรูปพระเยซูคริสต์กางแขน และรูปแบบหลังได้รับการรับเลือก ปี 1922 เริ่มทำการก่อสร้าง การก่อสร้างใช้เวลา 9 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง 1931 การก่อสร้างเส้นทางเดียวที่จะลำเลียงวัสดุก่อสร้าง และคนงานขึ้นสู่ยอดเขา โดยใช้รถไฟ และปัจจุบัน ก็ยังคงใช้สำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นสู่ยอดเขา หรืออาจใช้เส้นทางรถยนต์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที แล้วต่อด้วยการเดินขึ้นบันไดอีก 222 ขั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบันไดเลื่อนเรียบร้อยแล้ว ปี 1931 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร เสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1931 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 8,750,000 บาท ( 250,000 เหรียญสหรัฐ ) ปี 2008 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ถูกฟ้าฝ่าเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008 แต่รูปปั้นไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากหุ้มด้วยหินสบู่  


victorian style

จริงแล้ว costume ของคำว่า victorian style นั้นกินระยะเวลายาวนานมากทีเดียว (ศตวรรษที่ 18-19) การแต่งกายแต่ละช่วง ก็จะมีพัฒนาการต่างๆกันออกไป ตามคามนิยมของแต่ละสมัย การแต่งกาย แบบช่วงต้นๆของ victorian style จะเป็นการใส่ Crinoline ซึ่งยุ่งยากกว่าแบบ Bustle มากทีเดียว
 




ภาพหญิงยุคปัจจุบันที่ชื่นชอบการใส่ corset แบบโบราณ เห็นแล้วอึ้งค่ะ
สมัยที่เริ่มศึกษา เกี่ยวกับ costume เหล่านี้ก็แอบคิดนะคะ ว่าที่สะโพกและเอวมีรูปร่างออกมาเป็นทรงแก้ว นั้นมันน่าจะเกิดจาก bustle แต่ความจริงแล้ว มันถูกบีบด้วย corset มาแล้ว1ขั้น ก่อนจะมาเสริมให้ส่วนก้น และสะโพกดูโด่ง กลมกลึง ด้วย Bustle

 
 
 

วิหารพาร์เธนอน

 

               วิหารพาร์เธนอนเป็นวิหารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพีอาธีนาซึ่ง ซึ่งเป็น เทพีประจำเมืองเอเธนส์แต่ไหนแต่ไรมา คำว่า “พาร์เธนอน” แปลว่าห้องแห่งเทพีพหรมจารี (Hall of the virgin goddess) วิหารโบราณแห่งนี้มีความเก่าแก่มากกว่า 2,600 ปี ตั้งอยู่อะโครโปลิส (แปลว่าจุดสูงสุดของเมือง) ใจกลางกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งแม้ว่าวิหารพาร์เธอนอนจะเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพัง แต่เราก็ยังสามารถที่จะจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตได้เป็นอย่างดี

เนินอะโครโปลิสที่เป็นที่ตั้งของวิหารพาร์เธนอนนี้อยู่บนเนินเขาพัลลาส(Pallas) ซึ่งสูงจากพื้นราบ 60-70 เมตร พื้นที่บนยอดเขาประมาณ 45,000 ตารางเมตร ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 14 ก่อน คริสต์กาล (1,400 ปี ก่อน คริสต์กาล) ก็มีการสร้างพระราชวังบนเนินแห่งนี้แล้ว โดยที่วิหารพาร์เธนอนที่เห็นเป็นซากอยู่ในปัจจุบันเป็นวิหารรุ่นที่ 3 ที่สร้างทับซ้อนบนรากฐานเดิมของวิหารรุ่นที่ 2 ก่อนหน้า วิหารรุ่นแรกนั้นสร้างเมื่อประมาณ 500 กว่าปี ก่อนคริสต์กาล และได้พังทลายลงไป จึงได้มีการเริ่มสร้างรุ่นที่ 2 ขึ้นในปี 490 ก่อนคริสต์กาล แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะได้ถูกกองทัพของพวกเปอร์เซียเผาทำลายไปอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จดี แต่ว่าชาวเอเธอส์ก็ยังไม่ละความพยายามในการสร้าง วิหารพาร์เธนอนจึงเริ่มก่อสร้างอีกครั้งเป็นรุ่นที่ 3 ประมาณช่วงปี 447 ก่อน ค.ศ. ซึ่งนับเวลาจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ ประมาณ 2,500 ปี

วิหารพาร์เธนอนเป็นสถาปัตยกรรมแบบดอริคที่งดงามสมบูรณ์แบบทั้งโครงสร้างและสัดส่วน และภาพสลักที่ประดับทับหลังเหนือหัวเสา แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงแค่โครง แต่ก็ไม่ยากที่จะจินตนาการว่าในอดีตตอนที่สร้างเสร็จใหม่ๆ วิหารพาร์เธนอนนี้จะสวยงามเพียงใด

การท่องเที่ยวประเทศอิตาลี (Italy) หรือ สาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic)

การท่องเที่ยวประเทศอิตาลี (Italy) หรือ สาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic) อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต และมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย โดยมี กรุงโรม (Rome) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ...


 

เมืองเวนิส

เมืองเวนิส (Venice) หรือ เมืองเวเนเซีย (Venezia) หนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่รู้จักกันในด้านของความเจริญรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์และศิลปะ ที่ได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)... โดยเมืองเวนิส นั้นเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (Veneto) 1 ใน 20 แคว้นที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี และยังเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศ เป็นแคว้นที่มีความมั่งคั่งและเป็นแหล่งอุตสาหกรรมมากที่สุดในประเทศอิตาลี และยังเป็นแคว้นหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย

เมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมหมู่เกาะขนาดเล็กประมาณ 118 เกาะเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย (Venetian Lagoon) ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ (Po and the Piave Rivers) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก (Adriatic Coast) ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี โดยทั้งเมืองและทะเลสาบได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1987

 

เกาะซานจอร์โจ แมกจอเร

เนื่องจากว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเวนิสนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยผืนน้ำอันกว้างใหญ่ การคมนาคมภายในเมืองเวนิสจังนิยมใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด โดยมีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่างๆของเมืองมีการบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติของ 2 ฝั่งคลองโดยทางเรือ นับเป็นเมืองที่คลองมากกว่าถนนอีกเมืองหนึ่งของโลก โดยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชื่นชมความงดงามของเหล่าอาคาร ร้านค้า รวมไปถึงบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ตลอดสองฝั่งคลองที่ไหลคดเคี้ยวไปทั่งเมืองอีกด้วย

สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองเวนิสนั้น สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือน คือ เกาะซานจอร์โจ แมกจอเร (San Giorgio Maggiore) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เปียซซ่า ซาน มาร์โก (Piazza San Marco) หรือ จัตุรัสเซนต์มาร์ค (St Mark's Square) จัตุรัสสาธารณะหลักที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส


 

 

เปียซซ่า ซาน มาร์โก

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของเกาะซานจอร์โจ แมกจอเรคือ โบสถ์ซานจอร์โจ แมกจอเร (Church of San Giorgio Maggiore) คริสตจักรนิกายเบเนดิกในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีชื่อเดียวกับกันเกาะ โดยโบสถ์สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวในสไตล์คลาสสิกและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือในช่วงระหว่างปี 1566 - 1610 ได้รับการออกแบบโดย Andrea Palladio

หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปเยือน มหาวิหารเซนต์มาร์ค (St Mark's Basilica ) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บนเปียซซ่า ซาน มาร์โก เป็นมหาวิหารงนิกายโรมันคาทอลิกอัครสังฆมณฑลแห่งเวนิส (Roman Catholic Archdiocese of Venice) เป็นมหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองเวนิส และยังเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของมหาวิหารที่สร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมไบเซนไทน์


 

ปาลาซโซ ดูคาเล่

มหาวิหารเซนต์มาร์ค ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเปียซซ่า ซาน มาร์โก ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส ในฐานะนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ และถูกประหารชีวิต จุดเด่นของโบสถ์ที่ซานมาร์โคอยู่ที่การมีโดมถึง 5 โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าได้รับการประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปปั้นม้าบรอนซ์ 4 ตัว ซึ่งว่ากันว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล

และไม่ไกลจากกันนักจะเป็นที่ตั้งของ หอระฆังเซนต์มาร์ค (St Mark's Campanile) หนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของเมืองเวนิส โดยหอระฆังตั้งอยู่ใกล้ด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์มาร์ค โดยหอระฆังมีความสูงประมาณ 98.6 เมตร (323 ฟุต) ปัจจุบันหอระฆังแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดชมวิวที่สำคัญและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส


 

แกรนด์คาแนล (เวนิส)

ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน ปาลาซโซ ดูคาเล่ (Palazzo Ducale) หรือ พระราชวังดอดจ์ (Doge's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นในแบบเวนีเชี่ยนโกธิค (Venetian Gothic style) โดยพระราชวังถูกใช้เป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเวนิส และต่อมาถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1923 โดยพิพิธภัณฑ์ดำเนินการโดย Fondazione Musei Civici di Venezia

สุดท้ายขอแนะนำให้คุณมุ่งหน้าไปยัง แกรนด์คาแนล (เวนิส) (Grand Canal (Venice)) คลองที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวและเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวที่อยากล่องเรือกอนโดล่า หรือที่เราเรียกกันว่าเรือแจว ลัดเลาะไปตามคลองที่มีความยาวประมาณ 3,800 เมตร และมีความกว้างประมาณ 30-90 เมตร นักท่องเที่ยวจะได้ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆต่างๆของเวนิสมากมาย

 

 
 

สะพานซิงห์

โดยจุดแรกที่จะได้ชมคือ โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา ซาลูท (Santa Maria della Salute) โบสถ์เก่าแก่ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ปากทางเข้าแกรนด์คาแนล เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเวนิส โบสถ์แบบบาโร้กขนาดใหญ่แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อขอบคุณพระเจ้าในโอกาสที่โรคระบาดได้หายไปจากเวนิสในปี ค.ศ. 1630 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1687 ห้าปีหลังจากผู้ริเริ่มสร้างโบสถ์ได้เสียชีวิต

สะพานซิงห์ (Bridge of Sighs) สะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก ออกแบบโดย Antoni Contino ในปี ค.ศ.1602 สร้างมาจากหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้า และทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต โดยชื่อ Lord Byron ได้ตั้งชื่อว่าสะพานซิงห์ ในศตวรรษที่ 19 เนื่องมาจากนักโทษจะได้ถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายที่ สะพานแห่งนี้นั่นเอง

 


สะพานริอัลโต

หลังจากนั้นมุ่งหน้าไปยัง สะพานริอัลโต (Rialto) เดิมทีเป็นสะพานไม้ และสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 หลังจากที่พังทลายลง สะพานหินก็ถูกสร้างขึ้นทดแทน และเป็นสะพานข้าม Grand Canal เพียงแห่งเดียวจนถึงปี ค.ศ. 1854 จนกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และค้าขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเวนิส ใครที่มาเวนิสแล้วไม่ได้มาข้ามสะพานนี้ถือว่ามาไม่ถึง เป็นจุดถ่ายภาพที่สำคัญแห่งหนึ่ง รอบๆ สะพานเป็นย่านขายของที่ระลึกและตลาดขายของสด

นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆอีกมาหมาย อาทิเช่น โบสถ์ซานตา มาเรีย กลอริโอซา เดอิ ฟรารี (Santa Maria Gloriosa dei Frari) , พิพิธภัณฑ์ แก้วมูราโน่ (Murano Glass Museum) , แกลเลอรี่เดลแอคคาเดเมีย (Gallerie dell'Accademia) และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่คุณไม่ควรพาดไปเยือนอีกเป็นจำนวนมาก.....

 

เวียนา ดู กัชเตลู เสน่ห์เมืองเหนือของโปรตุเกส


 
โปรตุเกส ประเทศที่เก่าแก่มากชาติหนึ่งในยุโรป โดยเฉพาะชื่อเสียงของโปรตุเกสที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทยของเรานั้น ถือว่ามีมาเนิ่นนานนับหลายร้อยปี ปัจจุบันนี้จึง ไม่น่าแปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ต่างเดินทางแวะเวียนไปยังดินแดนประวัติศาสตร์แห่งนี้อยู่เสมอๆ

โบสถ์ ซานต้า ลูเซีย
หลายคนที่ยังไม่เคยมาเยือนประเทศโปรตุเกส แน่นอนว่าคุณอาจยังไม่ทราบว่าประเทศชายทะเลแห่งนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ด้วยเหตุนี้เราจึงขอพาไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในโปรตุเกสกันบ้างค่ะ

สถานที่แรกที่อยากแนะนำ คือ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าอยู่เหนือสุดของประเทศอย่าง เวียนา ดู กัชเตลู (Viana do Castelo) อีกหนึ่งเมืองที่มีความเก่าแก่ของประเทศ ที่ตั้งอยู่บริเวณ ปากแม่น้ำลิเมีย( Limia River) โดยเมืองเวียนา ดู กัชเตลูนั้นถือว่าเป็นเมืองท่าที่ค่อนข้างทันสมัย เนื่องจากมีท่าเรือ สิ่งอำนวยความสะดวก ที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมเรือ อีกทั้งยัง มีอุตสาหกรรมที่สำคัญคือ การก่อสร้างเรือ และอู่เรือ



 โบสถ์ ซานต้า ลูเซีย
และนอกจากนี้แล้วเมืองเวียนา ดู กัชเตลู ยังได้รับการขนานนามจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของโปรตุเกสอีกด้วย สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองนั้นก็ มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน ไม่ว่าเป็นความงดงามของเมืองเก่า หรือแม้แต่ความงดงามของธรรมชาติโดยรอบๆตัวเมือง ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนได้เช่นกัน

สถานที่แรกที่อยากแนะนำให้ไปเยือนเมื่อมาถึงเมืองเวียนา ดู กัชเตลู นั่นคือ การไปชมความงดงามของ โบสถ์ ซานต้า ลูเซีย (Basilica of Santa Luzia) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เหนือตัวเมืองเวียนา ดู กัชเตลู จุดที่คุณจะได้ชื่นชมภูมิทัศน์ทั้งหมดของเมือง ที่เบื้องหลังนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ รวมถึงแม่น้ำลิเมียที่ไหลพาดผ่านตัวเมืองอีกด้วย


ย่านจัตุรัสและลานน้ำพุ


ย่านจัตุรัสและลานน้ำพุ

โบสถ์ ซานต้า ลูเซีย นั้นถูกสร้างขึ้นจากหินแกรนิตและหินอ่อนที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ตัวอาคารนั้นเป็นแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างโรมันกับศิลปะยุคไบเซนไทน์ โดยโบสถ์ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี 1903 - 1943 นอกจากนี้แล้วไม่ไกลจากที่ตั้งของโบสถ์นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางไปชม ซากปรักหักพังของป้อม Alijo ป้อมปราการเก่าแก่ของเมือง ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาชมโบสถ์ก็มัก ไม่พลาดมาชมเช่นกัน
 




ต่อมาเดินทางกลับเข้ามาในตัวเมือง แนะนำให้แวะไปยัง จัตุรัสกลางเมือง สถานที่ที่รวบรวมอาคาร สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเอาไว้มากมาย จากนั้นไปชม ลาน น้ำพุ Praça da República ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงในศตวรรษที่ 16 โดย Joao Lopes ตัวน้ำพุสร้างขึ้นจากหินแกรนิตนประดับด้วยรูปหินแกะสลักอย่างสวยงาม นอกจากนี้ภายใน จัตุรัสยังประกอบไปด้วย อนุสาวรีย์ Caramuru และ Paraguaçu อาคารโบราณ ตลาด ร้านค้าเล็กๆ หรือแม้แต่ศาลาว่าการเดิม ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16

มหาวิหารแห่งเวียนา ดู กัชเตลู
หลังจากนั้นเดินทางไปยังบริเวณปากแม่น้ำเพื่อชม ป้อม Barra โดยป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เพื่อปกป้องท่าเรือจากการโจมตีของเหล่าศัตรู หรือจากการโจมตีของ โจรสลัด ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์การประชุมและการแสดงนิทรรศการอื่นๆ

สุดท้ายไปชม มหาวิหารแห่งเวียนา ดู กัชเตลู (Viana do Castelo Cathedral) มหาวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมแบบโรมัน - โกธิค โดยภายในได้รับการ ตกแต่งอย่างสวยงามมาก และถือได้ว่ามหาวิหารแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญทางศาสนาของเมืองอีกด้วย



 

เมืองบาเลนเซีย

สเปน (Spain) หรือ "ราชอาณาจักรสเปน" (Kingdom of Spain) ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์และก่อนโรมัน เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปบนคาบสมุทรไอบีเรีย โดยมีกรุงมาดริด (Madrid) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสเปน ...





เมืองบาเลนเซีย


หากเอ่ยถึงเมืองแห่งศิลปะและพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ของประเทศสเปน แน่นอนว่าเราต้องไม่พลาดนึกถึง "เมืองบาเลนเซีย" หรือ "เมืองวาเลนเซีย" (Valencia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นบาเลนเซียและจังหวัดบาเลนเซีย เป็นแคว้นปกครองตนเองที่ตั้งอยู่ทางตอนกลาง-ตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสเปน

เมืองบาเลนเซีย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำตูเรีย (Turia River) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศสเปน และยังเป็นที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงคือ สโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย (Valencia Club de Futbol) รู้จักกันในชื่อ บาเลนเซีย หรือ ไอ้ค้างคาว เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศสเปนที่มีชื่อเสียง

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 เมืองบาเลนเซียได้กลายเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของมันคือหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในสเปน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศสเปน ในอดีตเมืองบาเลนเซียเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสเปน ที่ถูกก่อตั้งขึ้นในสมัยโรมันภายใต้ชื่อ "Valentia Edetanorum"



 

มหาวิหารวาเลนเซีย

เมืองบาเลนเซีย เป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์และน่ามาเที่ยวมากแห่งหนึ่งของประเทศสเปน ไหนๆก็มีโอกาสมาถึงเมืองบาเลนเซียแล้ว คุณต้องไม่พลาดไปเยือนอนุสาวรีย์และสถานที่สำคัญๆของเมืองบาเลนเซีย โดยจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือน คือ หอคอยตอร์เรส เด เซอรานอซ (Torres de Serranos) เป็นป้อมปราการเมืองยุคกลางที่ตั้งอยู่ประมาณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตเมืองเก่า



มหาวิหารวาเลนเซีย


หอคอยตอร์เรส เด เซอรานอซ เป็นหนึ่งในสิบสองประตูของกำแพงเมืองโบราณเมืองบาเลนเซีย ปัจจุบันเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่ง และยังถือวาเป็นหนึ่งในจุดชมวิวเมืองที่ดีที่สุดของของเมืองบาเลนเซียอีกด้วย

ถัดมาขอแนะนำให้คุณมุ่งหน้าไปเยือน ย่านใจกลางจตุรัสเมืองเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลาง , ที่ทำการไปรษณีย์ , ร้านค้า, สนามสู้วัวกระทิง และไม่พลาดไปเยือน มหาวิหารวาเลนเซีย หรือ มหาวิหารซานตามาเรียแห่งบาเลนเซีย (Catedral de Santa Maria de Valencia) มหาวิหารที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าที่ถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าอาคารสำคัญๆมากมาย



 

 เมืองแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์

มหาวิหารวาเลนเซีย ถูกสร้างขึ้นในสไตล์ผสมผสานอาทิ กอธิค , นีโอคลาสสิก , บาร็อค และอื่นๆ ด้านข้างจะเป็น เอล มิกูเลต (El Miguelete) เป็นหอระฆังที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1381 และสิ้นสุดในปี 1429 ในความสูงประมาณ 51 เมตร ติดกันเป็นโบสถ์แม่พระ นักบุญอุปถัมถ์ประจำเมือง ตลอดสองข้างทางมีภัตตาคาร, บาร์, ร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึกมากมาย





เมืองแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์


ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน เมืองแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์ (City of Arts and Sciences) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญของเมืองบาเลนเซีย เป็นอาคารที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ซับซ้อน ได้รับการออกแบบโดย Santiago Calatrava และ Felix Candela เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญและทันสมัยที่สุดที่ในเมืองวาเลนเซีย



เมืองแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์


เมืองแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์ ถูกสร้างบนพื้นที่ทั้งหมด 350,000 ตร.ไมล์ ประกอบด้วยอาคารหลักๆ 4 หลัง และอาคารย่อยอื่นๆ ที่ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมล้ำยุค ได้แก่ อาคารที่ 1 L'Hemisferic ซึ่งภายในมี โรงภาพยนตร์, ท้องฟ้าจำลอง เลเซอร์เรียมจัดแสดงเลเซอร์โชว์ ร้านอาหารและกิ๊ฟช็อพ อาคารที่ 2 El Museu de les Ciencies Principe Felipe พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในสเปนภายในมีการจัดนิทรรศการถาวรทางวิทยาศาตร์เป็นจำนวนมาก อาคารที่ 3 L'Umbracle ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับพืชพื้นเมืองของเมืองบาเลนเซีย นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่นๆที่น่าสนใจและน่ามาเยือนเป็นจำนวนมาก





ซาน มิเกล เด ลอส เรเยส


สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปเยือน ซาน มิเกล เด ลอส เรเยส (San Miguel De Los Reyes Monastery) เป็นอารามเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่สิบหก โดยดยุคแห่งกาลาเบรีย (Duque de Calabria) เป็นอารามที่ถูกสร้างขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ถือว่ามีความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรม เป็นหนึ่งในอาคารที่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของศิลปะวาเลนเซียอีกด้วย